ไขความลับของน้องแมว
เคยสงสัยกันไหมคะว่า...เพราะอะไรน้องแมวถึงชอบทำท่าทางประหลาด ๆ มองซ้าย มองขวา หรือจ้องอะไรนาน ๆ ได้เป็นชั่วโมง นั่นเป็นเพราะร่างกายของน้องแมวมีความลับที่มนุษย์ไม่รู้ซ่อนอยู่ แต่จะเป็นความลับอะไรนั้น เรามาไขคำตอบกันดีกว่าค่ะ
1.การมองเห็น
หลายคนอาจสงสัยว่าภาพการมองเห็นในมุมมองจากสายตาน้องแมวนั้นเป็นอย่างไรซึ่ง Artist, Nickolay และ Lamm ผู้เชี่ยวชาญด้านการของเห็นของแมวได้ตั้งสมมติฐานไว้ว่า ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างคนกับแมว คือจอตาดำเป็นชั้นบาง ๆ ที่อยู่หลังจอตาดำ ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ที่เรียกว่า Photoreceptors หรือเซลล์รับแสง เซลล์นี้จะแปลงแสงให้เป็นสัญญาณไฟฟ้า ซึ่งมีการทำงานโดยเซลล์ประสาทส่งไปยังสมอง และแปลงกลับมาเป็นภาพที่เห็น
เซลล์รับแสงจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
เซลล์รูปแท่ง ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับสิ่งที่อยู่รอบนอก และในโหมดกลางคืนตรวจสอบความสว่าง และสีของสีเทา
เซลล์รูปกรวย ทำหน้าที่ในการมองเห็นและรับรู้สี มีความเข้มข้นของสารตัวรับแบบเซลล์รูปแท่งสูง และความเข้มข้นของสารตัวรับแบบเซลล์รูปกรวยต่ำ
ส่วนในมนุษย์จะตรงข้ามกันค่ะ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมมนุษย์เราไม่สามารถมองเห็นภาพในเวลากลางคืนได้ดีเท่าแมว แต่สามารถตรวจจับสีได้ดีกว่าแมว
2.การได้ยิน
น้องแมวสามารถได้ยินเสียงที่มีคลื่นความถี่เสียงสูงมาก ซึ่งหูมนุษย์ไม่สามารถได้ยินเสียงนั้นได้ โดยหูของมันจะมีลักษณะคล้ายจานดาวเทียม ภายในมีความโค้งและหยัก ไว้สำหรับรับสัญญาณเสียงต่าง ๆ ลองสังเกตเวลาที่เราคุยกัน แมวจะหันหูเข้าหาเรา หรือหมุนไปตามทิศทางของเสียงเพื่อฟัง และระบุถึงแหล่งที่มาของเสียง อีกทั้งหูของแมวสามารถหมุนได้รอบทิศทาง เพื่อใช้เพิ่มความสามารถในการล่าเหยื่อนั่นเอง
แมวสามารถรับฟังเสียงที่มีคลื่นความถี่ตั้งแต่ 30,000 – 45,000 Hertz และสามารถฟังเสียงได้ไกลกว่าหูของมนุษย์ ทำให้แมวได้ยินเสียงบางเสียง ในขณะที่มนุษย์เราจะไม่ได้ยิน และแมวยังฟังเสียงได้ดีกว่าสุนัขอีกด้วยนะคะ ซึ่งสุนัขสามารถฟังเสียงที่มีคลื่นความถี่สูงสุดได้เพียง 40,000 Hertz จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมแมวสามารถฟังเสียงได้โดยรอบ และบอกได้ว่าวัตถุนั้นคืออะไร อยู่ทิศทางไหน ทั้งยังวิเคราะห์ว่า เสียงฝีเท้า และวิธีการเดินนั้นใช่เจ้าของหรือไม่
3.การดมกลิ่น
แม้ว่าแมวจะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ดมกลิ่นได้เก่งเท่ากับสุนัข แต่จมูกแมวก็สามารถรับกลิ่นได้ดีมาก และดีกว่าคนแน่นอน โพรงจมูกของแมวเมื่อเทียบกับขนาดตัวแล้ว ถือว่าใหญ่กว่ามนุษย์ถึง 5 เท่า ทำให้รับกลิ่นได้ดีกว่า ใช้ประสาทการดมเพื่อแยกแยะว่าใครเป็นใคร รวมไปถึงใช้กลิ่นเพื่อสร้างอาณาเขตอีกด้วย
ความลับอีกอย่างหนึ่งก็คือ แมวมีอวัยวะพิเศษที่เรียกว่า เจคอบสัน (The Jacobsen organ) อยู่ใต้โพรงจมูก ที่เปิดไปสู่ปากทางด้านหลังของฟันหน้า ทำหน้าที่ปล่อยของเหลวออกมาเพื่อทำปฏิกิริยากับเคมีของกลิ่นที่ได้รับ และดึงของเหลวนั้นกลับเข้าไปเพื่อวิเคราะห์ แต่อวัยวะส่วนนี้จะวิเคราะห์เพียงกลิ่นที่ได้จากแมวด้วยกันเท่านั้น จะมีท่าทางบางอย่างที่เรียกว่า Flehmen Reaction นั่นคือพฤติกรรมอันแสนตลก เวลาที่แมวดมอะไรสักอย่างแล้วอ้าปากค้างนั่นแหละค่ะ
4.การพลิกตัวเมื่อตกจากที่สูง
โฟกัสไปยังพื้นที่เป้าหมาย
หลังจากที่แมวตก หรือกระโดดลงมาจากที่สูง กระดูกชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งอยู่บริเวณหูชั้นใน ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทรงตัวของร่างกาย จะควบคุมให้ร่างกายค่อย ๆ พลิกตัวทีละส่วน โดยเริ่มจากส่วนหัว เพื่อให้สมองคำนวณหาพื้นที่ที่ปลอดภัย และเหมาะสมต่อการทิ้งตัวนั่นเองค่ะ
พลิกตัวทีละส่วน
จากนั้นแมวจะจัดระเบียบร่างกายให้กลับมาอยู่ในท่ายืนปกติ โดยพลิกลำตัวช่วงบริเวณขาหน้าทั้งหมดก่อน แล้วตามด้วยขาหลัง ซึ่งการที่เขามีโครงสร้างของกระดูก และกล้ามเนื้อที่มีความยืดหยุ่นมาก จึงทำให้พวกมันสามารถพลิกตัวในลักษณะดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่มีสัตว์ประเภทไหนเลียนแบบได้
ขยายพื้นที่ลดแรงกระแทก
ใช้หลักการเดียวกับกฎทางฟิสิกส์ กล่าวคือยิ่งวัตถุที่หน้าตัดพื้นที่มาก ระดับความเร่งของแรงโน้มถ่วงก็จะน้อยลง ฉะนั้นทุกครั้งที่แมวทิ้งตัวลงมาจากที่สูง ก็จะยืดร่างกายและกางอุ้งเท้าทั้ง 4 ข้างออก เป็นการสร้างแรงต้านอากาศเพื่อชะลอความเร่ง ส่งผลให้ระดับความเร็ว และแรงกระแทกลดน้อยลงไปด้วย
เหยียดขาตรง
เมื่อถึงตำแหน่งที่กำหนด แมวจะเหยียดขาหน้าออกพร้อมกับโก่งตัวขึ้น เพื่อถ่ายแรงกระแทกไปยังข้อต่อในส่วนอื่น ๆ ซึ่งลักษณะการลงเช่นนี้ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตได้มากขึ้น แตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่นที่มักจะใช้ร่างกายทุกส่วนลงพื้นพร้อมกัน ซึ่งจะมีโอกาสบาดเจ็บมากกว่า เนื่องจากไม่มีการผ่อนแรงกระแทกนั่นเองค่ะ
ไม่ว่าแมวจะตกจากความสูงในระดับไหนก็ตาม หากมีระยะเวลาสำหรับการจัดระเบียบร่างกายมากเพียงพอ โอกาสในการรอดชีวิตก็จะสูงขึ้น และเกิดการบาดเจ็บน้อยกว่า ในทางกลับกันถ้าหากไม่สามารถพลิกตัวกลางอากาศ และกลับมายืนในท่าดังกล่าวได้ แมวก็มีสิทธิ์บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตได้เช่นกันค่ะ
5.ความลับของน้องแมวเรื่องหาง (สื่อสารแทนคำพูด)
ในเมื่อแมวไม่สามารถพูดได้ ก็ย่อมมีวิธีอื่นที่จะสามารถสื่อสารให้มนุษย์รับรู้ถึงความต้องการได้ค่ะ ความลับของการสื่อสารนี้ก็คือ หาง เช่นเดียวกับสุนัขที่ใช้หางสื่อสาร และบ่งบอกอารมณ์ แต่การเคลื่อนไหวของหางแมวนั้นไม่เหมือนกับสุนัขหรอกนะคะ การวางตำแหน่งหางแต่ละแบบมีหมายความว่าอย่างไรบ้าง
1.หางยกขึ้นและม้วนเล็กน้อย : แสดงว่าเริ่มรู้สึกสนใจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
2.หางตั้งขึ้น แต่ปลายหางเอียงไปข้างหน้าหรือข้างหลัง : แสดงว่ากำลังสนใจ และมีความรู้สึกเป็นมิตรต่อสิ่งที่สนใจ
3.หางตั้งตรง และปลายหางตั้งตรงในแนวดิ่ง : แสดงว่ากำลังอารมณ์ดี รู้สึกเป็นมิตรเมื่อได้พบกัน
4.หางยกขึ้นและขนลุกพอง ทำให้ดูเหมือนมีหางขนาดใหญ่ : แสดงว่าเขากำลังมีความสุขอยู่กับการวิ่งไล่แมวตัวอื่นไปรอบ ๆ
5.หางอยู่นิ่ง แต่จะกระตุกเป็นบางครั้ง : แสดงว่ากำลังมีความทุกข์ ความกังวล หรือถูกรบกวนจากสิ่งโดยรอบ
6.หางของแมวส่ายไปมา และปลายหางมีกระตุกอย่างหนัก : แสดงว่ากำลังรู้สึกโกรธมาก
7.หางเหยียดตรง ชี้ขึ้น ขนที่หางลุกชัน : แสดงว่ากำลังดุร้าย ก้าวร้าว
8.หางทอดตัวต่ำลง และขนลุกพอง : แสดงว่าเขากำลังหวาดกลัว
9.หางลดลงต่ำมาก หรืออาจจะซุกอยู่ระหว่างขาหลัง : แสดงว่าเขากำลังยอมแพ้
10.หางของแมวตัวเมียทอดตัวอยู่ด้านใดด้านหนึ่ง หมอบ ย่อตัว หรือยกสะโพกสูงขึ้น : แสดงว่าแมวตัวนั้นพร้อมที่จะรับการผสมพันธุ์
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ...ความลับของน้องแมวมีหลายอย่างที่ทาสอึ้งไปเลยไหมคะ แต่ถึงอย่างไรน้องแมวก็ยังเป็นสัตว์เลี้ยงที่เเสนจะน่ารัก สำหรับทาสเเมวอย่างเราอยู่เสมอ
ติดตามข้อมูลดี ๆ สำหรับคนรักสัตว์ได้ที่
FB Page :
Yippee Happy
ข้อมูลอ้างอิง
petcitiz.info